link titlelink titlelink title==หลักการผสมเทียม ==
1.การรีดเก็บน้ำเชื้อ ทำได้โดยใช้เครื่องมือช่วยกระตุ้นให้ตัวผู้หลั่งน้ำเชื้อออกมา โดยต้องพิจารณาถึง อายุ ความสมบูรณ์ของตัวผู้ ระยะเวลาที่เหมาะสม และวิธีการซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของสัตว์ เช่น ไก่ สุกร โค และต้องฝึกให้พ่อพันธุ์เชื่องต่อการรีดน้ำเชื้อด้วยเช่นกัน
2.การตรวจคุณภาพน้ำเชื้อ เพื่อตรวจหาปริมาณของตัวอสุจิ และการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่อดูความแข็งแรง อัตราตัวเป็นและตัวตาย
3.การละลายน้ำเชื้อ เป็นการเติมน้ำยาเลี้ยงเชื้อลงในน้ำเชื้อ เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำเชื้อให้เพียงพอ ในการแบ่งฉีดให้กับตัวเมียหลาย ๆ ตัว น้ำยาเลียงเชื้อที่เติม เช่น ไข่แดง Sodium citrate ยาปฏิชีวนะ
4.การเก็บรักษาน้ำเชื้อ มี 2 แบบคือ น้ำเชื้อสด หมายถึงน้ำเชื้อที่ละลายแล้ว และเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 4-5 องศาเซลเซียส จะอยู่ได้นานเป็นเดือน แต่ถ้าเก็บที่ อุณหภูมิ 15-20 องศาเซลเซียส จะเก็บได้นานประมาณ 4 วัน อีกชนิดคือ ส่วนน้ำเชื้อแช่แข็ง หมายถึงน้ำเชื้อที่นำไปทำให้เย็นจนแข็ง แล้วนำไปเก็บไว้ในไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส สามารถ เก็บได้นานเป็นปี
5.การฉีดน้ำเชื้อ สัตว์ตัวเมียที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นแม่พันธุ์ ที่จะได้รับการฉีดน้ำเชื้อ จะต้องอยู่ในวัยที่ผสมพันธุ์ได้ การฉีดน้ำเชื้อ ต้องฉีดในระยะที่ตัวเมียเป็นสัด ซึ่งเป็นระยะไข่สุก สังเกตได้โดย สัตว์จะเบื่ออาหาร กระวนกระวาย ร้องบ่อย มีน้ำเมือกไหลที่อวัยวะสืบพันธุ์ และไล่ขี่ตัวอื่น หรือยอมให้ตัวอื่นขึ้นทับ
[แก้ไข] การขยายพันธุ์สัตว์
ในปัจจุบันประชากรโลกได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากดังนั้นความต้องการสัตว์เป็นอาหารและเป็นสินค้าของมนุษย์มีเพิ่มมากขึ้น มนุษย์จึงคิดค้นหาวิธีการต่างๆ ที่จะช่วยในการขยายพันธุ์สัตว์ให้มีปริมาณมากเพียงพอ รวมทั้งมีคุณภาพตามความต้องการปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้นำวิธีการทางเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการขยายพันธุ์เพื่อให้ได้ปริมาณของสัตว์เพิ่มมากขึ้นแทนที่จะให้สัตว์ผสมพันธุ์กันเองตามธรรมชาติ
โดยเทคโนโลยี สมัยใหม่ที่ให้ความสะดวกและได้ผลดี รวมทั้งเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในขณะนี้ได้แก่ การผสมเทียมและการถ่ายฝากตัวอ่อน ส่วน การทำโคลนนิ่ง เป็นเทคนิคขยายพันธุ์ แบบใหม่ที่เพิ่งคิดค้นได้สำเร็จ
[แก้ไข] การผสมเทียมสัตว์ที่มีการปฏิสนธิภายในร่างกาย
สัตว์ที่มีการปฏิสนธิในร่างกายของสัตว์ ที่นิยมการผสมเทียม ได้แก่ โค กระบือ สุกร แพะ แกะ มีขั้นตอนปฏิบัติดังนี้1. การรีดน้ำเชื้อ เป็นการรีดน้ำเชื้ออสุจิจากสัตว์พ่อพันธุ์ที่ดี มีความแข็งแรงสมบูรณ์ และมีอายุพอเหมาะ โดยใช้เครื่องมือสำหรับรีดน้ำเชื้อโดยเฉพาะ
2. การตรวจคุณภาพน้ำเชื้อ เป็นการตรวจสอบความสมบูรณ์ของน้ำเชื้อที่รีดได้ว่ามีปริมาณของตัวอสุจิมากพอแก่การผสมเทียม และมีความแข็งแรงเพียงพอแก่การนำมาใช้หรือไม่
3. การเก็บรักษาน้ำเชื้อ เป็นการเก็บรักษาน้ำเชื้อก่อนที่จะนำไปใช้ โดยจะมีการเติมอาหารลงในน้ำเชื้อเพื่อให้ตัวอสุจิได้ใช้เป็นอาหารตลอดช่วงที่เก็บรักษาและเป็นการช่วยให้ปริมาณน้ำเชื้อมีมากขึ้น จะได้นำไปฉีดให้ตัวเมียได้หลาย ๆ ตัว หลังจากนั้นจะนำน้ำเชื้อที่เติมอาหารแล้วไปเก็บไว้ในอุณหภูมิต่ำ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
- 1) การเก็บน้ำเชื้อสด เป็นการเก็บน้ำเชื้อในสภาพของเหลวในที่อุณหภูมิ 4 - 5 องศาเซลเซียส จะช่วยให้น้ำน้ำเชื้อมีอายุอยู่ได้ประมาณหนึ่งเดือน แต่หากเก็บรักษาไว้ที่ อุณหภูมิ 15- 20 องศาเซียส จะเก็บรักษาได้ประมาณ 4 - 5 วัน เท่านั้น
- 2.) การเก็บรักษาน้ำเชื้อแบบแช่แข็ง เป็นการเก็บน้ำเชื้อโดยแช่ไว้ในไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิ ต่ำ - 196 องศาเซียส จะทำให้น้ำเชื้ออยู่ในสภาพของแข็ง วิธีการเก็บแบบนี้จะช่วยให้สามารถเก็บไว้นานเป็นปี
[แก้ไข] การผสมเทียมสัตว์ที่มีการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย
[แก้ไข] การถ่ายฝากตัวอ่อน
การถ่ายฝากตัวอ่อน เป็นวิธีการขยายพันธุ์แบบใหม่วิธีหนึ่ง โดยมีหลักการสำคัญ คือ การนำตัวอ่อนที่เกิดจากการปฏิสนธิระหว่างพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ออกมาจากมดลูกของแม่พันธุ์ แล้วนำไปฝากใส่ใว้ในมดลูกของตัวเมียตัวอื่นที่เตรียมไว้เพื่อให้ตั้งท้องแทนแม่พันธุ์ ซึ่งทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากแม่พันธุ์ได้อย่างคุ้มต่า เพราะแม่พันธุ์มีหน้าที่เพียงผลิตตัวอ่อน โดยไม่ต้องตั้งท้อง ซึ่งวิธีการถ่ายฝากตัวอ่อนนี้จะทำได้แต่เฉพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่ออกลูกเป็นตัว และออกลูกครั้งละ 1 ตัว และใช้เวลาตั้งท้องนาน[แก้ไข] วิธีการและขั้นตอนการฝากตัวอ่อน
การถ่ายฝากตัวอ่อน จะข่วยทำให้ได้ตัวอ่อนจำนวนมากขึ้น ในการผสมพันธุ์แต่ละครั้ง ซึ่งมีวิธีการและขั้นตอนสำคัญดังนี้1. เลือกแม่พันธุ์ที่ดี แล้ว กระตุ้นให้สร้างไข่และตกไข่ครั้งละหลายๆ ฟองด้วยการฉีดฮอร์โมน
2. เตรียมตัวเมียที่จะรับฝากตัวอ่อน โดยใช้ฮอร์โมนฉีดกระตุ้นให้มีความพร้อมที่จะตั้งท้อง
3. ทำการผสมเทียมโดยฉีดน้ำเชื้อของตัวผู้ที่เป็นพ่อพันธุ์เข้าไปในมดลูกของแม่พันธุ์ในช่วงไข่ตกในข้อ 1 หรือปล่อยให้ตัวผู้หรือพ่อพันธุ์ ผสมพันธุ์เองตามธรรมชาติ ทำให้ไข่หลายฟองได้รับการปฏิสนธิแล้วเจริญกลายเป็นเป็นตัวอ่อนอยู่ในมดลูกหลายตัวพร้อมกัน
4. ใช้เครื่องมือดูดเอาตัวอ่อน ออกจากมดลูกของแม่พันธุ์มาตรวจสอบและคัดเลือกเอาเฉพาะตัวอ่อนที่สมบูรณ์ดีเท่านั้น โดยต้องใช้ตัวเมียเท่ากับจำนวนของตัวอ่อนที่จะถ่ายฝาก
5. นำตัวอ่อนที่ผ่านการตรวจสอบ และคัดเลือก แล้วนำไปใส่ฝากไว้ในมดลูกของตัวเมียที่เป็นตัวรับฝากตัวอ่อนที่ได้เตรียมไว้ โดยต้องใช้ตัวเมียเท่ากับจำนวนของตัวอ่อนที่จะถ่ายฝาก
[แก้ไข] ข้อดีของการถ่ายฝากตัวอ่อน
หลังจากการถ่ายฝากตัวอ่อนเรียบร้อยแล้ว ตัวอ่อนจะเจริญเติบโตอยู่ในมดลูกจนสมบูรณ์ดี จึงคลอดออกมาพร้อม ๆ กัน การถ่ายฝากตัวอ่อน มีข้อดี ดังนี้1. ทำให้ได้ลูกจากพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์คู่เดียวจำนวนมากในการผสมพันธุ์กันเพียงครั้งเดียว
2. ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิตสัตว์ได้เป็นอย่างดี
3. สามารถเก็บรักษาตัวอ่อนไว้ได้นานโดยการแช่แข็งซึ่งสามารถที่จะนำมาใช้ถ่ายฝากให้กับตัวเมียอื่น ๆ ได้ทุกเวลาตามที่ต้องการ
4. ทำให้ได้สัตว์ที่มีลักษณะดีตามความต้องการในปริมาณมาก
[แก้ไข] การผสมเทียมวัว
โคตัวเมีย ที่แสดงอาการเป็นสัดดังกล่าว ควรจะได้รับการผสมเทียมในระยะเวลาช่วงกลางของการเป็นสัด หรือใกล้ระยะที่จะหมดการเป็นสัด (อาจจะหมดการเป็นสัดไปแล้วประมาณ 6 ชั่วโมงก็ได้ หรือเมื่อโคเพศเมียตัวนั้นยืนนิ่งให้ตัวอื่นขึ้นขี่ ซึ่งใช้เป็นหลักในการผสมพันธุ์) โดยทั่ว ๆ ไปโคเพศเมียจะมีระยะเป็นสัดประมาณ 18 ช.ม. แล้วต่อมาอีก 14 ช.ม. จึงจะมีไข่ตกเพื่อรอรับการผสมพันธุ์กับน้ำเชื้อพ่อโค จึงเห็นสมควรที่ต้องเลือกเวลาที่เหมาะสม ในการดำเนินการเรื่องของรับบริการผสมเทียมดังมีหลักการที่จะใช้ในการปฏิบัติงานผสมเทียมคือ1. เมื่อโคเพศเมียตัวใดแสดงอาการเป็นสัดในตอนรุ่งเช้าของวันใดวันหนึ่ง ควรที่จะได้รับการผสมเทียมในวันเวลาเดียวกัน (ก่อน 16.30 น.) ฉะนั้นพอรุ่งเช้าของแต่ละวันเจ้าของสัตว์ควรที่จะได้ไปแจ้งและบอกเวลา (ประมาณ) ที่ท่านได้เห็นสัตว์ของท่านแสดงอาการเป็นสัด
2. ถ้าโคเพศเมียตัวใดแสดงอาการเป็นสัดในตอนบ่ายของวันใดวันหนึ่ง ควรที่จะได้รับการผสมเทียมตอนเช้าหรือก่อนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ฉะนั้นเจ้าของสัตว์เมื่อพบว่าสัตว์แสดงอาการเป็นสัดในตอนบ่ายหรือตอนเย็น ท่านควรจะไปแจ้งและบอกเวลาของการเป็นสัด (ประมาณ) ในรุ่งเช้าของวันต่อไปก็ได้
ถ้าท่านได้ศึกษาและรู้จักสังเกตการแสดงอาการเป็นสัด ว่าอาการเป็นอย่างไรและหาระยะเวลาที่จะผสมเทียมให้พอเหมาะแล้ว จะเป็นการช่วยแก้ปัญหาเรื่องการผสมเทียมติดยากหรือผสมไม่ค่อยติดในโคเพศเมียของท่านได้ทางหนึ่ง และจะทำให้เป็นประโยชน์ในด้านการเพิ่มจำนวนและปริมาณน้ำนมในกิจการโคนมของท่านยิ่งขึ้น จึงเห็นสมควรที่จะเรียกช่วงเวลาอันสำคัญนี้ว่า "นาทีทองในโคนมตัวเมีย"
[แก้ไข] จะรู้ได้อย่างไรว่าโคตั้งท้องหรือไม่
เมื่อโคนาง ได้รับการผสมไปแล้วประมาณ 21 วันหากโคไม่กลับมาแสดงอาการเป็นสัดอีกก็อาจคาดได้ว่าผสมติดหรือโคตัวนั้น เริ่มตั้งท้องแล้ว เพื่อให้รู้แน่ชัดยิ่งขึ้นภายหลังจากการผสมโคนางแล้ว 50 วันขึ้นไปอาจติดต่อสัตวแพทย์หรือบุคคลผู้มีความ ชำนาญในการตรวจท้องแม่โค (โดยวิธีล้วงเข้าไปคลำลูกโคทางทวารของแม่โค) มาทำการตรวจท้องแม่โคก็จะทราบได้แน่ชัดยิ่งขึ้นข้อสังเกต ในกรณีโคสาว จะสังเกตได้จากการเจริญเติบโตที่เร็วขึ้น กินจุขึ้น ความจุของลำตัวโดยเฉพาะส่วนท้องซี่โครงจะกางออกกว้าง ขึ้น ขนเป็นมัน และไม่เป็นสัดอีก
[แก้ไข] การคลอดลูก
โดยทั่วไปแม่โคจะตั้งท้องประมาณ 283 วัน หรือประมาณ 9 เดือนเศษ ในช่วงนี้แม่โคจะได้การเอาใจใส่ดูแลเรื่องความเป็นอยู่และอาหารเป็นพิเศษ เพราะลูกในท้องเจริญขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นไปอย่างรวดเร็ว ในระยะก่อนคลอดประมาณ 45 - 80 วัน ควรเพิ่มอาหารผสมให้แก่แม่โคท้อง เพื่อแม่โคจะได้นำไปเสริมสร้างร่างกายส่วนที่สึกหรอ และนำไปเลี้ยงลูก หรือนำไปสร้างความเจริญเติบโตสำหรับอวัยวะบางอย่างที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์มากที่สุดและเพื่อไม่ให้แม่โคซูบผอม สำหรับแม่โคที่กำลังให้นม เมื่อตั้งท้องลูกตัวต่อไปควรจะหยุดรีดนมก่อนคลอดประมาณ 45 - 60 วัน สำหรับแม่โคท้องแรกหรือท้องสาวหรือแม่โคที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ (อายุไม่ถึง 5 ปี) แม้จะให้ลูกมาแล้ว 1 หรือ 2 ตัวก็ตาม ก่อนคลอดลูกตัวต่อไปควรจะหยุดพักการรีดนมเร็วกว่าแม่โคที่โตเต็มที่แล้ว อย่างน้อยก่อนคลอดประมาณ 45 - 60 วัน เพื่อให้แม่โคได้มีเวลาเตรียมตัวได้พักผ่อนร่างกายและอวัยวะต่าง ๆ บ้าง มิฉะนั้นแม่โคอาจจะได้รับผลกระทบกระเทือน นั่นหมายถึงผลเสียหายที่จะตามมาภายหลังได้ เช่น ร่างกายจะชะงักการเติบโตเพราะอาหารไม่พอ ร่างกายไม่สมบูรณ์ เมื่อคลอดลูกออกมาลูกโคอ่อนแอ มีช่วงระยะการให้นมในปีต่อไปสั้นลง ผสมติดยาก ทิ้งช่วงการเป็นสัดนาน และอื่น ๆ เป็นต้น[แก้ไข] อาการที่แม่โคแสดงออกเมื่อใกล้คลอด
เราอาจจะสังเกตอาการต่างๆได้ดังนี้1. เต้านมขยายใหญ่ขึ้น
2. อวัยวะเพศขยายตัวขึ้น ยิ่งใกล้วันคลอดเข้ามาสังเกตเห็นมีน้ำเมือกไหลออกมาจากช่องคลอด
3. กระดูกเชิงกรานขยายตัวออกกว้างขึ้น โคนหางตรงกระดูกก้นกบจะบุ๋มลึกลงทั้งสองข้าง
4. ช่องท้องตรงสวาปจะลึกหย่อนลง
5. ยกหางขึ้น-ลงเล็กน้อยเป็นครั้งคราว
6. ถ้าเป็นโคที่ปล่อยรวมฝูงจะพยายามแยกตัวออกจากฝูง
7. แม่โคที่ถูกขังจะไม่สนใจในการกินหญ้า อาหาร ยืนกระสับกระส่าย ขกขาหลังแตะอยู่เรื่อย ๆ มีการเบ่งคลอดตลอดเวลา
[แก้ไข] จะรู้ได้อย่างไรลูกโคคลอดปกติหรือไม่
ลักษณะการคลอดลูกในท่าปกติของแม่โค คือ ลูกโคจะเหยียดขาหน้าตรงออกมาพร้อมกันทั้งสอง (ส่วนหัวแนบชิดกับเข่า) จะเห็น เป็น 3 จุด คือ 2 กีบข้างหน้า และจมูก ถ้าหากมีลักษณะอื่น ๆ ผิดไปจากนี้ให้ถือเป็นการคลอดที่ผิดปกติ อาทิเช่น หัวพับหรือเอาด้าน หลังออกมาก่อนส่วนอื่น หรือกรณีที่ลูกโคมีขนาดใหญ่จนไม่สามารถผ่านช่องคลอดออกมาได้ หรือกรณีอื่น ๆ เช่นนี้ควรรีบติดต่อสัตวแพทย์มาช่วยทำการคลอด และหากลูกโคคลอดออกมาแล้วรกยังไม่ออกตามมาถ้าเกิน 12 ชั่วโมง ควรรีบตามสัตวแพทย์มาช่วยแก้ไข เพราะถือว่ามีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับแม่โค ซึ่งต้องรีบทำการรักษา หลังจากลูกโคคลอดออกมาแล้วควรรีบเช็ดทำความสะอาดตัวลูกโคให้แห้งโดยเร็ว โดยเฉพาะเมือกบริเวณจมูกปากและลำตัวพร้อมกับทำการตัดสายสะดือให้ห่างจากตัวโคประมาณ 1 นิ้วแล้วทาด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน[แก้ไข] ประโยชน์ของการผสมเทียมวัว
1. ทำให้ประหยัดพ่อพันธุ์เมื่อรีดเก็บน้ำเชื้อจากสัตว์พ่อพันธุ์ได้แต่ละครั้งสามารถนำมาละลายน้ำเชื้อแล้วแบ่งใช้ผสมกับสัตว์ตัวเมียได้จำ นวนมาก2. สามารถผสมพันธุ์สัตว์ที่มีขนาดใหญ่หรือเล็กต่างกันได้ โดยไม่มีอันตรายจากการขึ้นทับของพ่อพันธุ์
3. ไม่ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงพ่อพันธุ์
4. ตัดปัญหาในเรื่องขนส่งโคไปผสมเพราะสามารถนำน้ำเชื้อไปผสมได้ไกล ๆ
[แก้ไข] การผสมเทียมสุกร
การเลือกพ่อสุกรมารีดเชื้อ1. ต้องตรงตามสายพันธุ์ที่ต้องการ
2. พ่อพันธุ์ต้องมีอายุมากกว่า 9 เดือน หรือมีน้ำหนักมากกว่า 110 กิโลกรัม
3. ความถี่ในการรีดเชื้อของพ่อสุกร แตกต่างกัน - อายุ 8 – 10 เดือน รีดได้ทุก 15 วัน
- อายุ 10 – 12 เดือน รีดได้ทุก 10 วัน
- อายุ 1ปีขึ้นไป รีดได้ทุก 7 วัน
4. งดรีดเชื้อพ่อพันธุ์ที่มีอาการขาเจ็บ ให้ทำการรักษาก่อน
[แก้ไข] การนำน้ำเชื้อไปผสมในแม่พันธุ์
1. แม่พันธุ์ต้องเป็นสัดแล้วเต็มที่ มีอาการยืนนิ่งเมื่อกดหลัง2. ทำความสะอาดแม่พันธุ์
3. ใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดอวัยวะเพศ
4. ใช้น้ำเกลือล้างอวัยวะเพศอีกครั้ง
5. ล้าง catheter ด้วยน้ำเกลือทั้งภายนอกและภายใน
6. ค่อยๆสอด catheter เข้าไปในอวัยวะเพศเมีย โดยค่อยๆหมุนทวนเข็มนาฬิกาจนปลาย catheter ล็อคติดกับปากมดลูก (cervix) ทดลองดึงเบาๆจะไม่หลุดออก
7. หยิบขวดน้ำเชื้อมา ตัดปลายหลอด แล้วใส่ปลายหลอดน้ำเชื้อในรู catheter
8. ค่อยๆบีบน้ำเชื้อเข้าไปในมดลูกจนหมดหลอด (ประมาณ 5 นาที) รอสักครู่ค่อยๆดึง catheter ออกโดยหมุนตามเข็มนาฬิกา
9. อุปกรณ์ที่ใช้แล้วนำไปล้างและนึ่งฆ่าเชื้อก่อนนำมาใช้ใหม่
[แก้ไข] ประโยชน์ของการผสมเทียมสุกร
1. สามารถแพร่เลือดของพ่อพันธุ์ที่ดีเยี่ยมไปได้มากและกว้างขวางที่สุด2. การผสมเทียมเป็นวิธีป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคต่างๆ อันอาจเกิดได้ง่ายจากการผสมพันธุ์โดยธรรมชาติ เช่น แท้งติดต่อ วัณโรค
3. การผสมเทียมช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อพ่อพันธุ์สุกรซึ่งมีราคาแพงมากมาไว้ในฟาร์ม
4. สามารถเก็บเชื้อพ่อพันธุ์ดีไว้ใช้ได้นานปี
5. ช่วยขจัดปัญหาแตกต่างระหว่างขนาดของพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้
6. สัตว์ตัวเมียที่มีอวัยวะสืบพันธุ์ผิดปกติ ไม่อาจผสมพันธุ์ได้ตามธรรมชาติ ก็อาจใช้วิธีการผสมเทียมติดได้
7. เป็นประโยชน์ทางด้านการศึกษาค้นคว้าทางวิชาพันธุศาสตร์
[แก้ไข] ประวัติงานผสมเทียม
การผสมเทียม ได้เริ่มกำเนิดขึ้นในโลก ประมาณปี พ.ศ.1865 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอาหรับ ได้ทำการผสมเทียมม้าเป็นผลสำเร็จ โดยใช้น้ำเชื้อม้าที่ติดที่หนังหุ้มลึงค์ นำมาผสมให้กับแม่ม้าที่กำลังเป็นสัด ทำให้แม่ม้าตั้งท้องและคลอดปี พ.ศ. 2220 ลีเวนฮุค(Leeuwenhoek) และแฮมม์(Hamm) ได้ค้นพบสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เคลื่อนไหวอยู่ในน้ำเชื้อของสัตว์ตัวผู้ จึงได้ตั้งชื่อว่าเอนิมัลคู(Animalcule) ซึ่งหมายถึงสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในขณะนั้น ยังไม่ทราบว่าสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่เคลื่อนไหวอยู่ในน้ำเชื้อของสัตว์ตัวผู้คืออะไร
ปี พ.ศ. 2323 ได้มีนักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลี ชื่อลาซาโล (Lazarro Spallanzani) ได้เขียนผลงานวิจัยเกี่ยวกับผลสำเร็จของการผสมเทียม โดยได้ทำการผสมเทียมสุนัข ได้ลูกสุนัขที่เกิดจากการผสมเทียม 3 ตัว และได้ทดลองแยกน้ำเชื้อโดยการกรอง พบว่า ส่วนของน้ำเชื้อที่ผ่านเครื่องกรองออกมานั้น ถ้านำไปฉีดในแม่สัตว์ที่กำลังเป็นสัด ปรากฎว่าผสมไม่ติด แต่ถ้าเอาส่วนบนที่ติดกับเครื่องกรองไปผสม ปรากฎว่าผสมติดดีขึ้น และยังพบว่า ถ้าทำให้น้ำเชื้อเย็นลงระดับหนึ่ง จะสามารถเก็บรักษาน้ำเชื้อได้นานมากขึ้น
ปี พ.ศ. 2457 ศาสตราจารย์ อะเมนเทีย(Prof.Amantea) ได้ทำการประดิษฐ์อวัยวะเพศเมียเทียมของสุนัข (Artificial vagina) เพื่อใช้ในการรีดเก็บน้ำเชื้อจากพ่อสุนัข จนเป็นจุดเริ่มต้นของการประดิษฐ์อวัยวะเพศเมียเทียมของสัตว์ชนิดอื่น ๆ
ปี พ.ศ. 2479 นักวิทยาศาสตร์ของประเทศเดนมาร์ค เริ่มพัฒนาการผสมเทียมโคนม โดยใช้วิธีล้วงเข้าทางทวารหนัก (Rectovaginal insemination) โดยใช้มือล้วงเข้าทางทวารหนักจับคอมดลูก(Cervix) แล้วใช้ปืนฉีดน้ำเชื้อสอดผ่านช่องคลอด ผ่านคอมดลูก(Cervix) จนไปถึงตัวมดลูก(Body of Uterus) และฉีดน้ำเชื้อในมดลูกทำให้อัตราการผสมติดดีขึ้น
หลังจากนั้น งานผสมเทียมได้มีการขยายมากขึ้น และกระจายไปสู่สัตว์ต่าง ๆ มีการผสมเทียมสุนัข ม้า โค แพะ แกะ จนสามารถให้กำเนิดลูกสัตว์ได้นับแสนตัว
ปี พ.ศ. 2483 ได้มีการพัฒนาน้ำเชื้อ โดยฟิลลิป(Philips) และลาดี้(Lardy) ได้ทดลองนำไข่แดงผสมเป็นสารเจือจางน้ำเชื้อ พบว่าสามารถป้องกันอันตรายของตัวอสุจิในการลดอุณหภูมิของน้ำเชื้อ และทำให้สามารถเก็บน้ำเชื้อได้นาน 2-3 วัน
ปี พ.ศ. 2484 ซาลิสเบอรี่(Salisbury) และคณะ ทดลองใช้โซเดียม ซิเตรท(Sodium citrate) และ ไข่แดง เป็นบัฟเฟอร์(buffer) ในสารเจือจางน้ำเชื้อ สามารถเพิ่มปริมาตรน้ำเชื้อ และแบ่งน้ำเชื้อไปผสมเทียมให้กับสัตว์ได้มากตัว
ปี พ.ศ. 2489 อรัมคริส(Alamquist) และคณะ ได้ทดลองเติมยาปฏิชีวนะลงไปในสารเจือจางน้ำเชื้อ พบว่าสามารถป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรคในน้ำเชื้อได้ดี
ปี พ.ศ. 2492 ซี โพล(C.Polge) และคณะ ชาวอังกฤษ ได้ทำการแช่แข็งน้ำเชื้อได้สำเร็จโดยเก็บน้ำเชื้อในน้ำแข็งแห้งอุณหภูมิ -79 องศาเซลเซียส
ปี พ.ศ. 2495 พอล(Polge) และโรสัน(Rowson) ได้พบว่า การเติมกลีเซอรอล ลงในสารเจือจางน้ำเชื้อ จะช่วยให้อสุจิรอดชีวิตจากการเก็บที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นจุดเริ่มในการผลิตน้ำเชื้อแช่แข็ง
[แก้ไข] บิดาแห่งการผสมเทียม
การผสมเทียมในประเทศไทยเริ่มขึ้นโดย ในปี พ.ศ.2496 ศาสตราจารย์นีลล์ ลาเกอร์ลอฟ ชาวสวีเดน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญจากเอฟ.เอ.โอ. ได้เดินทางมาสำรวจการเลี้ยงปศุสัตว์ในประเทศไทย โดยทุนของ เอฟ.เอ.โอ. จากนั้นได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายโครงการผลิตโคนมลูกผสมด้วยวิธีการผสมเทียมในประเทศไทย ซึ่งวัตถุประสงค์ของ โครงการฯ คือ เพื่อให้ประเทศไทย สามารถผลิตน้ำนมได้เองภายในประเทศ ทดแทนการนำเข้านมและผลิตภัณฑ์นมจากต่างประเทศ (มูลค่านำเข้าขณะนั้นประมาณ 1,000 ล้านบาทเศษ)หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2497 กรมปศุสัตว์ได้ส่งข้าราชการ 2 นายคือ นายสัตวแพทย์ทศพร สุทธิคำ และนายสัตวแพทย์อุทัย สาลิคุปต์ โดยทุน เอฟ.เอ.โอ. ไปศึกษาอบรมนานาชาติ ณ ราชวิทยาลัยสัตวแพทย์ กรุงสต๊อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ซึ่งองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติร่วมกับรัฐบาลสวีเดน ได้เปิดหลักสูตรฝึกอบรมวิชาการสืบพันธุ์ รวมทั้งการผสมเทียมขึ้นเป็นรุ่นแรก
หลังจากนายสัตวแพทย์ทศพร สุทธิคำ ศึกษาวิชาการสืบพันธุ์และผสมเทียม ณ ประเทศสวีเดนสำเร็จ และเดินทางกลับประเทศไทย ท่านได้เริ่มต้นด้วยการพยายามก่อตั้งสถานีผสมเทียม เพื่อให้บริการผสมเทียมแก่ปศุสัตว์ของเกษตรกร รวมถึงพยายามถ่ายทอดความรู้ด้านการผสมเทียมแก่นักวิชาการของกรมปศุสัตว์ ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว แต่ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง จนในปี พ.ศ. 2499 กรมปศุสัตว์จึง ได้เปิดสถานีผสมเทียมแห่งแรก ที่จังหวัดเชียงใหม่ และได้มอบหมายให้นายสัตวแพทย์ทศพร สุทธิคำ ปฏิบัติหน้าที่เป็นหัวหน้าสถานีผสมเทียมดังกล่าว
จากที่การปฏิบัติงานผสมเทียมในระยะต้น ๆ ยังไม่มีงบประมาณสนับสนุน นายสัตวแพทย์ทศพร ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด ที่จะประยุกต์ดัดแปลงเครื่องมือต่าง ๆ ที่มีอยู่ สำหรับปฏิบัติงานผสมเทียมโดยไม่ต้องซื้อหาจากต่างประเทศ จนสามารถประยุกต์อุปกรณ์ที่มี นำมาปฏิบัติงานผสมเทียมได้ และในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2499 นายสัตวแพทย์ทศพร ได้ผสมเทียมให้แม่โคตัวแรก ที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นแม่โคของนายนคร ผดุงกิจ เป็นผลสำเร็จ แม่โคดังกล่าวได้ตั้งท้องและต่อมาคลอดลูกเป็นลูกโคเพศเมีย ดังนั้น ในวันที่ 9 กันยายน ของทุก ๆ ปี จึงถือเป็นวันกำเนิดงานผสมเทียมของประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2501 สถานีผสมเทียมแห่งที่สองได้ตั้งขึ้นที่หน่วยผสมเทียมกลางในกรมปศุสัตว์ โดยมีนายสัตวแพทย์ประเสิรฐ ศงสะเสน เป็นหัวหน้าสถานีผสมเทียมกรุงเทพมหานคร ซึ่งนายสัตวแพทย์ประเสริฐ ได้พัฒนาและปรับปรุงพื้นฐานการเลี้ยงโคนมและการผสมเทียมในกรุงเทพมหานคร ตามรอยของนายสัตวแพทย์ทศพรที่สร้างไว้ จนประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง
จากความมุ่งมั่นที่จะพัฒนางาน รวมทั้งการวางรากฐานที่ดีของนายสัตวแพทย์ทศพร ทำให้ปัจจุบันงานผสมเทียมของประเทศไทยได้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยะประเทศ ดังนั้น นายสัตวแพทย์ทศพร สุทธิคำ จึงได้รับขนานนามว่า “ บิดาแห่งการผสมเทียมของประเทศไทย “
[แก้ไข] การทำโคลนนิง
การทำโคลนนิง เป็นเทคนิคการขยายพันธุ์ที่ทำให้เซลล์ไข่ ซึ่งผ่านกรรมวิธีบางอย่างสามารถเจริญเป็นตัวอ่อนได้โดยที่ไม่ต้องมีการปฏิสนธิตามธรรมชาติ โดยเซลล์ไข่ดังกล่าว จะถูกนำนิวเคลียสเก่าออก แล้วใส่นิวเคลียสใหม่ ซึ่งเป็นของเซลล์ต้นแบบจากสัตว์ตัวที่มีลักษณะตามต้องการเข้าไปแทน จากนั้นก็กระตุ้นให้เซลล์ไข่ที่มีนิวเคลียสใหม่แบ่งเซลล์ได้เป็นตัวอ่อน แล้วจึงนำตัวอ่อนที่ได้ไปฝากไว้ในมดลูกของแม่ฝากให้ตั้งท้อง และคลอดลูกแทนแม่ ซึ่งเป็นเจ้าของเซลล์ต้นแบบสัตว์ที่เกิดจากเทคนิคการทำโคลนนิงซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกก็คือ " แกะดอลลี " ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อเดือน กุมภาพันธุ์ พ.ศ. 2540 ( ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว )โดยเซลล์ต้นแบบของแกะดอลลีได้มาจากเซลล์เต้านมของแกะหน้าขาว ขั้นตอนการทำโคลนนิงแกะดอลลีเป็นดังแผนภาพ
นอกจากแกะดอลลีแล้วยังมีสัตว์โคลนนิงตัวอื่น ๆ ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นระยะ ๆ เช่น * " อิง " โคโคลนนิงตัวแรกของไทย ซึ่งใช้เซลล์ใบหู ของโคพันธุ์แบรงกัสเพศเมียเป็นเซลล์ต้นแบบ
* " ซีซี " แมวโคลนนิงตัวแรกของโลก ซึ่งข้เซลล์คิวมูลัส ( เซลล์ที่อยู่รอบ ๆ เซลล์ไข่ ) เป็นเซลล์ต้นแบบ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
อ้างอิงhttp://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1